Wait

H+S / shonen-ai / romance
ชินอิจิไปหาฮัตโตริที่โตเกียวเพื่อบอกลา เขาต้องไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่LA
เพราะผลค้างเคียงจากยาaptx4869ซึ่งทำให้ชินอิจิมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น
สัญญาที่ทั้งคู่ไว้ให้ด้วยกันคือ การรอ...

อีกเรื่องนึงที่หลายคนท้วงมาว่าเน่าสนิท เหอๆ^^;;;
(จริงรึเปล่าก็ลองอ่านพิสูจน์ดูได้เลย เย้!)
 
 
 
ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงหมดแล้ว...

องค์กร...

ความแค้น...

ทุกสิ่งทุกอย่าง...

...และก็...ตัวฉันเอง

***

ณ นครแห่งเมืองหลวงเก่า โอซาก้า

"คุโด้...เฮ้ คุโด้!!"เด็กหนุ่มผิวคล้ำเรียกย้ำด้วยเสียงอันดังเมื่อคู่สนธนาของตนเงียบไป

ชินอิจิ เงยหน้าตื่นจากภวังค์

"นายเป็นอะไรไปน่ะ? ท่าทางซึมๆนะ ไม่สบายรึเปล่า?"

"ไม่มีอะไรหรอก"เด็กหนุ่มปฏิเสธ ชินอิจิกลับลงไปก้มหน้าหลบลงต่ำเหมือนเดิมและเดินย่ำบนทางหินของสวนสาธารณะต่อไป

"คุโด้"

เฮย์จิเร่งฝีเท้าตัวเองขึ้นเมื่อชินอิจิก้มหน้าก้มตาเดินแซงหน้าตัวเอง วันเสาร์ในสวนสาธารณะใหญ่ที่ค่อนข้างร้างผู้คน ต้นไม้ใหญ่หลายสิบหลายร้อยต้นเสียดยอดขึ้นไปสูงแผ่กิ่งก้านบดบังแสงแดดยามเย็นที่ครึ้มอยู่แล้วให้ยิ่งรำไร

เมื่อเห็นว่าไม่มีทางดึงความสนใจจากชินอิจิมาได้หมด เฮย์จิจึงชวนให้ลงนั่งบนเก้าอี้หินข้างทางด้วยกัน แต่ก็แค่กันไม่ให้ชินอิจิเดินทิ้งเขาไปได้แค่นั้น เพราะถึงจะนั่งแล้วชินอิจิก็ยังคงเหม่อออกไปเช่นเดิม ความเงียบเข้าปกคลุมวังเวงเหมือนอยู่กลางเขามากกว่าที่จะอยู่ในเมืองหลวงอันจอแจ ซึ่งกลางสวนสาธารณะใหญ่แห่งนี้เนรมิตขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์

เฮย์จิที่ทนนิ่งเงียบตามไปได้สิบกว่านาทีเริ่มอึดอัดและดเป็นกังวล

"อืม ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเลยนะ"ชายหนุ่มผิวคล้ำเริ่มบรรยากาศใหม่ด้วยบทสนธนาทั่วๆไป ชินอิจิก็ได้แต่ส่งเสียงอืมในลำคอตอบกลับมาเท่านั้น แต่เขาจะรู้รึเปล่าว่าเนื้อหาที่เฮย์จิพูดคืออะไร

"...แปลกดีนะที่จู่ๆนายมาหาฉันที่โอซาก้าเนี่ย แถมพาพ่อแม่ของนายมาด้วย ทำยังกะจะมาสู่ขอแหน่ะ ฮ่ะๆ"คู่สนธนาก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ใส่ใจกับมุขที่เฮย์จิปล่อยออกมาเลยสักนิด

"...เอ่อ...ปกติพ่อแม่ของนายอยู่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ? แต่คราวนี้กลับมาญี่ปุ่น แถมมาเยี่ยมฉันถึงที่บ้านอีกน่ะและยังขอคุยกับพ่อแม่ฉันเป็นการส่วนตัวอีก ป่านนี้ไม่รู้คุยกันจบรึยัง"

"...คงตั้งใจมาขอบคุณน่ะ..."

"เอ๋?"

"ฮัตโตริ"

ชินอิจิไม่เปิดโอกาสให้เฮย์จิถามรายละเอียดประโยคที่ตนเองพูดไปเมื่อกี้

"นายชอบฉันรึเปล่า?"

"อ่ะ...ว่าไงนะ?"เฮย์จิหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา คนปกติที่ท่าทางเย็นชาจู่ๆมาถามเขาตรงๆอย่างนี้ก็ทำให้ตกใจได้มากเหมือนกัน จริงอยู่ที่ทั้งสองเริ่มมีความรู้สึกต่อกันมากเกินกว่าคำว่าเพื่อน แต่ก็ไม่เคยที่จะพูดออกมาให้ชัดเจนกันสักที

"ตอบมาสิ"

ชินอิจิถามย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง มองตรงมายังเขา

"เอ่อ ไม่รู้สิ คือเรื่องแบบนี้มัน..."เฮย์จิกระอั่กกระอ่วนในลำคอจนพูดออกมาเสียงขาดๆหายๆ แต่พอมาสังเกตุอีกทีชินอิจิที่ยังขึงขังเมื่อกี้กลับก้มหน้าลง

"คุโด้..."

มือที่ตกอยู่ข้างตัวชินอิจิสั่นเทา บรรยากาศชักแปลกๆเสียแล้ว เฮย์จิคิด

"...ฉันเองก็ไม่รู้เหตุผลจริงๆหรอกนะ แต่ความรู้สึกนี้ฉันไม่ได้โกหก ฉัน...ฉันรักนายจริงๆ คุโด้"เฮย์จิกุมมือชินอิจิพร้อมกับคำสารภาพความรู้สึกในใจเป็นครั้งแรกของเขา มือที่ขาวนวลนั่นยิ่งสั่นมากขึ้นในอุ้งมืออุ่นของเฮย์จิ

"หึๆๆ ฮ่ะๆๆๆ"

"เอ๋?"ชินอิจิหัวเราะออกมาทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มหลบอยู่ ชักมือตัวเองออกจากมือของเฮย์จิ

"จะบ้ารึไงนายน่ะ พูดอะไรออกมา อย่ามาอำฉันกลับดีกว่า"

"?"

"ฉันล้อนายเล่นต่างหาก กลับมาล้อเล่นกลับทำเป็นจริงเป็นจังไปได้"

"น่ะ นี่...นาย..."

ไม่จริงนะ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ล้อเล่น

"คือเหตุผลจริงๆที่พ่อแม่และฉันมาที่นี่น่ะ เพื่อมาบอกลานายต่างหาก และพ่อแม่ฉันก็มาเพื่อขอบคุณพ่อแม่นายด้วยที่นายช่วยดูแลฉันตอนที่เป็นโคนันมาตลอด"ชินอิจิไม่เปิดโอกาสให้เฮย์จิซักถามอีกนับเป็นครั้งที่สอง

"บอกลา? บอกลาไปไหน?"

"ฮัตโตริ พรุ่งนี้ฉันจะย้ายไปLA"

"จะไปกี่วันล่ะ"

"ฉันจะ 'ย้าย' ไปLA ฮัตโตริ ฉันจะย้ายไปอยู่ที่นั่น จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว"

ความรู้สึกต่างๆซัดกันเข้ามาในหัวของเฮย์จิจนอื้ออึงไปหมด ทั้งเรื่องตลกร้ายเมื่อกี้ และนี่จะเป็นตลกร้ายอะไรจากนักสืบตะวันออกคนนี้อีก

"พอเหอะ อย่ามาหลอกกันอีกดีกว่า"

"ฉันไม่ได้ล้อเล่น พรุ่งนี้ฉันจะออกจากนาริตะตอนบ่ายสองสี่สิบจริงๆ"

เฮย์จิอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ปล่อยให้ความเงียบกลืนบรรยากาศรอบตัวเขาทั้งสอง เมื่อชินอิจิเห็นฝ่ายตรงข้ามจะไม่พูดอะไรอีก จึงลุกขึ้นและทำท่าจะเดินกลับ

"เดี๋ยวก่อนคุโด้! นายจะย้ายไปที่นั่นทำไม?"เฮย์จิคว้ามือของชินอิจิไว้นควัน

"นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน"

"แล้วเรื่องที่ว่านั่นคืออะไร?"

"พ่อแม่ฉันอยู่ที่นั่น ฉันจะย้ายตามไปก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน"

"โกหก!"

ชินอิจิผงะเมื่อได้ยินคำยืนกรานจากเฮย์จิ

"นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันโกหก! ฉันมาเพื่อบอกนายแค่นี้แหละ กลับกันได้แล้ว!"

"นายโกหก"

"นี่!มันจะมากไปแล้วนะ"ชินอิจิเริ่มออกอาการหงุดหงิดมาทางสีหน้า พยายามชักมือกลับออกไปแต่อีกฝ่ายยิ่งกุมมันแน่นเข้า

"แล้วเรื่องเมื่อกี้ล่ะ นายถามทำไม?"

เฮย์จิลุกขึ้นยืนมองมาที่ชินอิจิด้วยเสียงแผ่วบางและสีหน้าที่ราวกับอ้อนวอนจนชินอิจิหยุดความคิดที่จะโกรธเขาอีกต่อไป

"...เมื่อกี้ฉันบอกไงว่าล้อเล่น"

"แต่ฉันไม่ได้ล้อเล่น คุโด้"

คำสุดท้ายที่ย้ำชื่อของคนที่ตนจ้องมองอยู่ทำให้ชินอิจิรู้สึกเสียดขึ้นมาที่หน้าอกอย่างกะทันหัน ไม่ เขาไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นอย่างนี้

"ฉันจะย้ายไปโรงพยาบาลที่LA"

"โรงพยาบาล?"

เกินกว่าที่ชินอิจิจะอดทนโกหกคนตรงหน้าไปได้อีกต่อไปแล้ว ถึงแม้เขาจะย้ำเรื่องนี้ เตรียมห้ามใจตัวเองไม่ให้อ่อนเป็นพันๆครั้ง

"ฮัตโตริ ร่างกายของฉันน่ะเกินขีดความสามารถที่จะทนอยู่ได้แล้วนะ"

"หมายความว่ายังไง นายเป็นอะไรกันแน่?"

"ยาAPTXน่ะไม่ได้ใจดีกับฉันมากเท่าที่นายคิดหรอก หลังจากที่กลับคืนร่างเดิมแล้ว ตอนนี้พิษของตัวยาเริ่มออกอาการข้างเคียงกับตัวของฉันแล้ว"

"อาการข้างเคียงอะไรกัน?"

ชินอิจิก้มหน้าเบี่ยงหลบไปทางอื่น สูดอากาศเข้าไปเหมือนกับเพื่อปลอบโยนหัวใจของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมาเบาๆราวกับเสียงกระซิบ

"APTXเป็นยาพิษที่มีซิกแนลควบคุมเซลล์ต่างๆในร่างกายให้ทำลายตัวเองตามรหัสที่ตัวยากำหนดไว้ ฉันกับไฮบาระโชคดีที่ซิกแนลควบคุมนั้นผิดพลาดทำให้กลายเป็นเด็กแต่ไม่ถึงกับตาย เป็นความโชคดี1ในหลายร้อยของคนที่ได้รับยา แต่ก็นั่นแหละ

ถึงตอนนี้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว แต่ตัวยาก็ยังตกค้างกระจายอยู่ทั่วในร่างกาย ซิกแนลบางตัวเริ่มทำงานตามคำสั่งของมันอย่างช้าๆ กว่าฉันจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว...

...อาการของมันก็ค่อยๆแสดงออกมาช้าๆเหมือนกัน เริ่มจากที่ฉันมีไข้นิดหน่อยแต่ไม่ยอมหายเป็นอาทิตย์ มีอาการวิงเวียนบ่อยขึ้น บางทีก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ฉันเองก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะนึกว่าร่างกายคงเพลียจากการกลับมาเป็นคนเดิม จนเมื่อ4วันก่อนมือฉันมีแผลและเลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด นายรู้มั้ย?มันหมายความว่ายังไง?"

เฮย์จิที่ยืนฟังนิ่งราวกับรูปปั้นนั้นไม่ได้ตอบอะไรออกมานอกจากสีหน้าที่สื่อคำว่า ทำไม เพื่อขอคำตอบจากชินอิจิ

"...ด็อกเตอร์พาฉันไปที่โรงพยาบาล หมอที่นั่นก็เช็คร่างกายฉันอย่างละเอียดและบอกว่าเกล็ดเลือดฉันมีปัญหา เพราะอะไรบางอย่างทำให้พวกมันถูกทำลายไปทำให้ปริมาณมีไม่พอที่จะห้ามเลือดได้ไม่ว่าแผลจะเล็กขนาดไหนก็ตาม หมายความว่าถ้าฉันเป็นแผลแล้วมันจะไม่มีวันหายและเลือดจะไม่หยุดไหลจนกว่ามันจะหมดหยดสุดท้ายไปจากตัวฉัน และนอกจากนี้...

ทางโรงพยาบาลยังพบอาการผิดปกติอีกมากมายในตัวฉัน จำนวนเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวลดลง เซลล์อวัยวะภายในต่างๆเริ่มมีอาการของมะเร็ง ไขสันหลังมีอาการผิดปกติ...นายก็รู้ว่ามันหมายความว่าชีวิตของฉันใกล้..."

"พอแล้วคุโด้! อย่าพูดอย่างนั้นนะ"

"...มันเป็นความจริงนะฮัตโตริ ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อขนาดไหนก็ตาม ขอโทษนะที่ทำให้ชีวิตที่นายเคยช่วยไว้ตั้งหลายครั้งต้องมาจบลงง่ายๆอย่างนี้"ชินอิจิยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

"...โรงพยาบาลที่นั่น ที่LAจะรักษานายให้หายได้ใช่มั้ย?"

"..."

"คุโด้? บอกฉัน...ใช่มั้ย?"

"...ไม่หรอกฮัตโตริ"

เฮย์จิเบี่ยงหน้าออกไปหลบสายตาจากชินอิจิ มือยังคงกำรอบข้อมือชินอิจิเอาไว้แน่นราวกับว่าถ้าปล่อยไปแล้วชินอิจิจะหายจากตรงหน้าเขาไป

"โอกาส?"

"ไม่มี"

"ปาฏิหารย์?"

"...ไม่มีหรอก"

ชินอิจิส่ายหัวเบาๆ

"แต่ว่านะ ฉันยังมีเวลาอีกตั้ง2ปีน่ะ คิดว่าคงใช้เวลาช่วงนี้ทำอะไรให้กับชีวิตตัวเองได้อีกเยอะทีเดียว"เจ้าตัวโปรยยิ้มออกมาหัวเราะเสียงใส หัวเราะให้เหมือนกับว่าปัญหามันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน

"2ปีน่ะ อย่างน้อยใช่มั้ย?"

"ใช่........นี่ฮัตโตริ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ"

มืออีกข้างของชินอิจิสัมผัสไปที่ใบหน้าของเฮย์จิอย่างแผ่วเบา เขาไม่เคยเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดขนาดนี้ของเฮย์จิมาก่อนเลย

"ทำไมเรื่องสำคัญขนาดนี้นายถึงไม่รีบบอกฉัน?"

"เพราะฉันไม่อยากเห็นนายต้องทำหน้าอย่างนี้น่ะสิ"

เฮย์จิเอานิ้วหัวแม่โป้งและนิ้วชี้จับที่ปลายตาทั้งสองด้านเพื่อกันไม่ให้น้ำตาของตัวเองต้องไหลออกมา ก่อนเงยหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

"แล้วโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นสามารถทำให้นายอยู่ได้นานเท่าที่LAมั้ย?"

"ฉันว่าน่าจะไม่มีปัญหา เพราะว่าที่นี่ก็มีหมอเฉพาะด้านที่เก่งและเครื่องมือก็ไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไหร่"

"ถ้าอย่างนั้น...นายรักษาตัวอยู่ที่นี่ ที่ญี่ปุ่นนี่ได้มั้ย?"

"ทำไมละฮัตโตริ?"

"ฉันอยากอยู่ข้างๆนาย ให้ฉันได้อยู่ข้างๆนายเถอะนะ"

ชินอิจิเบิกตากว้างกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เสียงใบไม้ขัดสีกันด้วยแรงลมดังลั่นไปทั่วบริเวณราวกับจงใจทำลายความเงียบที่อยู่รอบตัวทั้งคู่

"เพราะอย่างนี้นี่แหละถึงไม่อยากจะบอกนายไง"แล้วชินอิจิก็พูดออกมา

"เพราะอย่างนี้นี่แหละฉันถึงถามนายว่าชอบฉันมั้ย? เพื่อว่านายจะหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขำ ให้กลายเป็นว่าฉันคิดฟุ้งซ่านไปเองและจากนายไปได้อย่างหมดห่วง แต่ให้ตายเถอะฮัตโตริ นายกลับย้ำมัน"

"คุโด้...?"

"ทำไมนะ ทำไม ทำไมนายต้องทำให้ฉันไม่กล้าพอที่จะจากนายไปเงียบๆไม่บอกกล่าว ทำไมนายต้องทำให้ฉันรู้สึกกับนายแบบนี้ด้วย"

น้ำตาออกมาปริ่มรอบตาชินอิจิที่เจ้าตัวฝืนไม่ให้มันไหลออกมา ข้อมือที่อยู่ในอุ้งมือเฮย์จิสั่นเทาขึ้นมาอีกครั้ง

"ช่างเถอะ" ชินอิจิเงยหน้าขึ้นมาเพื่อให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป "ยังไงซะ พรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปละ ถึงนายจะพูดยังไงก็ไม่มีประโยชน์"

"ช่างมันเหรอ? คุโด้ ถ้านายรู้สึกกับฉันเหมือนกับที่ฉันรู้สึกกับนาย ทำไมนายต้องจงใจหนีฉันไปด้วย?"

"..."

"บอกฉันมาสิ คุโด้!"

"...ก็เพราะว่า..."

ชินอิจิยกมือข้างที่เฮย์จิจับอยู่ขึ้นมา และให้มือใหญ่นั่นสัมผัสไปบริเวณใบหน้าและเรือนผมตัวเอง ให้มือนั่นลูบลงมาอย่างช้าๆ

"ดูนี่สิฮัตโตริ"

ชินอิจิเผยมือให้เฮย์จิเห็นเส้นผมของตนที่ร่วงติดนิ้วออกมาอย่างง่ายดาย

"ฉันบอกนายแล้วว่าตอนนี้ร่างกายฉันไม่ไหวแล้ว แม้แต่เล็บนิ้วมือยังกลายเป็นสีม่วงคล้ำ นี่มันไม่ใช่ในละครหรอกนะ ที่จะคงสภาพเหมือนเดิมได้ตลอดจนวันใกล้ตายน่ะ ตอนนี้แค่ในระยะแรกที่ ต่อไปร่างกายฉันก็จะเสื่อมเร็วขึ้นไปทุกวันๆ สภาพต่อไปจากนี้ของฉันมันไม่ได้น่ามองนักหรอก"

"คุโด้ นายคงไม่คิดนะว่าฉันจะเลิกคิดจะอยู่ข้างนายเมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้น่ะ"

"...และก็ต่อไปสมองฉันก็คงถูกทำลายกลายเป็นคนเลอะเลือนที่ทำอะไรเองไม่ได้ จำอะไรไม่ได้ แม้แต่ชื่อของตัวเองและชื่อของนาย..."

"คุโด้ ถึงจะอย่างนั้นฉันก็ยัง..."

"พอแล้ว! หยุดพูดเถอะ! นายยังไม่เห็นตอนนั้นน่ะสิถึงพูดออกมาได้!"ชินอิจิหยุดคำพูดของเฮย์จิด้วยเสียงที่เค้นออกมาจากในลำคอ

"เดี๋ยวสิ ที่นายพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง?"

"ฮัตโตริ! รักกับหลงมันไม่เหมือนกันหรอกนะ นายคิดเหรอว่านายจะทำตามที่ตัวเองพูดได้น่ะ มันก็แค่คำพูดสวยหรูเท่านั้นแหละ"

"แล้วนายคิดว่าฉันจะเป็นแบบไหนล่ะ? ฉันไม่มีทางเป้นอย่างที่นายว่าเด็ดขาด!"

"นายมันคนไม่มีเหตุผล!"

"แล้วนายล่ะ เอาเหตุผลที่ไหนมาใช้?ทำไมนายถึงปักใจนักว่าฉันจะเป็นแบบนั้น!"

"ฉัน..."

ชินอิจิเงียบไป

"...ก็ได้ หากนายคิดว่านายเป็นอย่างที่พูดจริง หากว่านายจะสามารถยอมรับสภาพฉันในตอนนั้นได้ล่ะก็ เรามาตกลงกัน"

"?"

"ฮัตโตริ เมื่อกี้นายจำที่ฉันพูดได้มั้ย? ฉันมีเวลาเหลืออยู่อย่างน้อยสองปี ในระยะสองปีนั้นฉันจะไปอยู่ที่LA หากว่าเวลาของฉันมันเกินกว่ากำหนด ฉันจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตอยู่กับนาย"

"ตั้งใจจะทดสอบฉันเหรอ?"

"หึ จริงๆแล้วฉันก็ไม่เชื่อถือกับความรักนี่เท่าไหร่หรอก มันอาจจะเป็นความฉาบฉวยของนิสัยวัยรุ่นใจร้อนอย่างนายก็ได้ นี่เป็นหลักประกันไง เพราะถ้าหาก2ปีนายยังรอฉันไม่ได้ เรื่องจะรับสภาพฉันนั่นก็เป็นอันพับไปได้เลย"

"คุโด้"

"ทำไม? หรือคิดว่าทำตามเงื่อนไขนั่นไม่ได้?"

"ฉันไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับนายไปสักวินาทีเดียว คุโด้ ทุกวินาทีที่นายอยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้รู้มั้ยมันมีค่ามากมายขนาดไหน? ขอร้องล่ะ"

"..."

...ฮัตโตริ...

"ถ้ายังไง ฉันเองก็จะตามนายไปถึงLAให้ได้เลย"

"ไม่นะ! หากนายไม่ทำตามข้อตกลงที่ว่าก็ไม่ต้องมาพูดกันเลย!"

"นายต้องการทดสอบอะไรกันแน่คุโด้? ฉันไม่อยากให้ทั้งฉันและนายต้องมาเสียใจภายหลังหรอกนะ?"

"ฉันถึงต้องการทดสอบไงเล่า หากว่าฉันยอมรับให้นายอยู่ข้างฉัน แล้ววันหนึ่งหากนายรังเกียจฉัน หนีฉันไปล่ะ? นายคิดมั้ยว่าฉันจะรู้สึกยังไง?"

เสียงของชินอิจิสั่นเครือและแหบพร่าเต็มที

"...ฉันไม่อยากให้ตัวเองต้องรู้สึกอย่างนั้น อย่างน้อยวิธีนี้ฉันก็จะมั่นใจว่านายจะไม่ทอดทิ้งฉัน ถึงมันจะเป็นแค่การคิดไปเองก็เถอะ...ฉัน..."

เฮย์จิมองหน้าคนตรงหน้าที่ก้มลงสะอื้นเบาๆ เขาดึงตัวชินอิจิเข้ามาสู้อ้อมแขนของตัวเองช้าๆก่อนก้มลงจูบริมฝีปากของชินอิจิอย่างแผ่วเบา...เป็นครั้งแรก

เด็กหนุ่มชาวโอซาก้ารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาพูดไป เขาไม่ได้คิดถึงความรู้สึกนี้ของคุโด้เลย คุโด้เองคงหวั่นไหวกับเรื่องนี้มานานและคงไม่ใช่น้อยด้วย ข้อตกลงนี่ก็คงคิดล่วงหน้ามานานเพราะความหวั่นไหวนี่เอง

"คุโด้...หากนายแน่ใจอย่างนั้นฉันเองก็ตกลง ฉันจะรอจนถึงวันนั้น"

ชินอิจิผละออกจากอกเฮย์จิที่อบอุ่นช้าๆ น้ำตาซับไปกับเสื้อเฮย์จิไปแล้วเหลือแต่ใบหน้าคมที่ยังนิ่งเฉย ฝืนกับความรู้สึกที่แท้จริงข้างในของตัวเอง

"ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้นะ และสัญญาอีกอย่าง ในระยะ2ปีนี้ห้ามติดต่อกันด้วยวิธีใดๆทั้งสิ้น"

"ทำไม?"

"ตกลงนะ ฮัตโตริ"ชินอิจิไม่ฟังคำอุทรณ์ของเฮย์จิ เด็กหนุ่มโอซาก้าจึงได้แต่พยักหน้าตาม

...

อีกไม่กี่นาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์มือถือของชินอิจิก็ดังขึ้น ยูซากุ พ่อของเขาโทรมาตามตัวเพราะว่าต้องกลับโตเกียวกันแล้ว...เพื่อที่จะไปนาริตะ...ไปLA

ชินอิจิกับเฮย์จิเดินผ่านทางที่เริ่มมืดในสวนสาธารณะออกไปเงียบๆ ทั้งคู่เดินจับมือกันไปตลอดทาง โดยไม่สนใจต่อสายตาคนภายนอกที่จะมองมาอีกแล้ว ก่อนจะถึงหน้าประตูบ้านเฮย์จิ เจ้าของบ้านก็เอ่ยลอยขึ้นๆมาเบาๆราวสายลม คล้ายจะรำพึงกับตัวเอง

...ถึงแม้จะไม่มีสัญญานี้ ฉันก็จะรอนาย...รอจนถึงวันที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง...

 

***

วันรุ่งขึ้น บ่าย3โมง 14นาที บนเครื่องบินมุ่งสู่LA

"ชินจัง ดื่มอะไรหน่อยมั้ยลูก?"

"ไม่ครับ ผมไม่หิวครับ แม่"ชินอิจิบอกปัดยูกิโกะ ยูซากุจึงสั่งกาแฟสองแก้วและน้ำผลไม้แล้วบอกให้แอร์โฮสเตสไปบริการผู้โดยสารคนอื่นได้

"อ่ะนี้ น้ำผลไม้ ดื่มซะ"ยูซากุยื่นแก้วให้

"ผม..."

"ดื่มหน่อยเถอะลูก นะ เดี๋ยวสุขภาพจะ..."ยูกิโกะเสียงอ่อนและสั่นเครือ น้ำตาปริ่มๆอีก เป็นประจำทุกครั้งที่เธอคิดถึงอนาคตของลูกชายตัวเอง แม้จะพยายามทำใจแค่ไหนก็ยากที่จะรับได้ ยูซากุเองก็ได้แต่โอบไหล่เพื่อเป็นการปลอบใจ ทั้งๆที่ความจริงตัวยูซากุเองก็ว้าวุ่นอยู่ไม่น้อย

"..."

เมื่อชินอิจิเห็นท่าทีของแม่ตัวเองก็อดที่จะรับแก้วน้ำจากมือพ่อไม่ได้ เขายกมาจิบพอเป็นพิธีก่อนจะวางไปบนโต๊ะพับเล็กๆหน้าเก้าอี้

"ชินอิจิ ตอนนี้มีอะไรที่อยากทำมั้ย? ถ้ามีอะไรที่ต้องการก็บอกพ่อและแม่นะ"

"โธ่ พ่อฮะ อย่างพูดยังกับผมจะตายวันตายพรุ่งสิฮะ"

คำพูดนี้สะกิดใจยูกิโกะจนต้องกำมือคนที่เป็นคู่ชีวิตของตัวเองแน่น

"แต่ว่าเวลาที่เหลืออีกครึ่งปี พ่ออยากให้เราอยู่ให้คุ้มค่าที่สุดนะ"

"...ขอบคุณครับ พ่อ"ชินอิจิยิ้มให้ ถึงยูซากุ พ่อของเขาจะมีมาดที่เคร่งขรึมเป็นประจำ แต่ตอนนี้กลับมองเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนและเจือความเศร้า มือนึงอ้อมมาบีบมือของชินอิจิไว้แน่น2-3ครั้งก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ

"ตอนนี้ผมง่วงจัง ขอผมนอนพักหน่อยนะครับ"

ยูซากุและยูกิโกะพยักหน้าเข้าใจ แม่ของเขาพยายามจัดแจงผ้าห่มให้เขาทั้งน้ำตา

ชินอิจินั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เขาจึงเอียงตัวเอาหัวไปพิงกับผนังไว้ สายตามองทอดออกไปไกล

ฮัตโตริ...ฉันขอโทษ

ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงนาย

และไม่ได้หมายความว่าไม่เชื่อใจนายด้วย แต่ว่า...

...นายจะเข้าใจถึงความเห็นแก่ตัวครั้งนี้ของฉันมั้ย?

ความรู้สึกของฉัน...

ขนาดเพียงแค่นายรู้ นายยังทำหน้าเจ็บปวดขนาดนี้

แล้วถ้าถึงเวลานั้นล่ะ? นายจะรู้สึกยังไง?

ฮัตโตริ ฉันอาจจะห่วงความรู้สึกของนาย แต่บางทีมันไม่ใช่

มันอาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันเอง

ฉันคงจะเจ็บยิ่งกว่าหากเห็นว่านายรู้สึกเศร้าเสียใจขนาดไหน

ไม่มีหลักประกันหรอกว่านายจะเสียใจเท่าที่ฉันคิดหรือไม่

แต่ว่า...ฉันก็มีสิทธิที่จะคิดใช่มั้ย?

ฮัตโตริ ถึงแม้ว่าสัญญานั้นจะไม่มีทางเป็นจริงได้

แต่ฉัน...อยากให้นายรอฉันให้ได้ อยากให้นายคิดถึงฉัน

...ไม่ลืมฉัน...

อย่างน้อยก็ 2 ปีต่อไปนี้

ได้โปรด...อย่างพึ่งลืมความรู้สึกนั้นที่มีต่อฉันเลยนะ...

...

 

ชินอิจิเหม่อมองออกไปยังก้อนเมฆที่ลอยต่ำใต้ตัวเครื่อง ปิดเปลือกตาลงทิ้งให้ภาพสุดท้ายที่มองเห็นค้างอยู่ในม่านตาสักครู่ก่อนจะกลายเป็นสีดำที่มืดมิด...

-END-
 

 
 


เอ่อ...มีหลายคนอ่านแล้วถามว่าชินอิจิตายบนเครื่องบินเหรอ
ขอตอบว่าไม่ใช่นะ แค่หลับไปเฉยๆน่อ^^;;;