Fly me to the moon K+S / romance / shonen-ai ฟิคประกอบเนื้อเพลง
fly me to the moon เพลงประกอบเรื่อง eva |
||
ผ้าคลุมสีขาวปลิวสบัดสะท้อนแสงจันทร์ เจ้าของร่างในชุดสีขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่เหนือตึกสูงในนครแห่งความสับสน มีเพียงมุมนี้ที่ได้จะได้เห็นแววแห่งความสงบฉายออกมาจากแสงไฟตามตึกรามบ้านเรือนที่ราวกับทะเลแห่งดวงดาว ...เราตัดสินใจถูกแล้วเหรอ?... ... ...ความหวังของเราจะเป็นจริงได้เหรอ? ... สายลมเหนือยอดตึกกรรโชกมา ความเย็นเยียบแทรกกายเข้าสู่เนื้อหนังโดยเสื้อผ้าไม่สามารถทัดทานได้เลย และความยะเยือกนั้นก็คล้ายจะลามมาถึงจิตใจของเขาด้วย ... ...ฉันอยากจะจัดการคนที่ฆ่าพ่อของฉัน อยากจะให้มันได้รู้ถึงความเจ็บปวดแห่งการสูญเสียนั่นบ้าง... ... ...แต่ว่ามันเป็นความดันทุรังของคนๆหนึ่งที่ไม่มีเรี่ยวแรงเลยรึเปล่า? องค์กรนั่นใหญ่ขนาดไหน? เรามีกำลังแค่สักเท่าไหร่? สุดท้ายเราอาจจะมีจุดจบอย่างพ่อโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้... ... ... เสียงนาฬิกาข้อมือที่ตั้งเตือนไว้ดังขึ้นเป็นทำนองดิจิตอลสั้นๆ ชายหนุ่มเลิกปลายแขนเสื้อสูทสีขาวขึ้นเพื่อปิดปุ่มเสียง ถึงเวลานัดหมายแล้ว งานชิ้นต่อไปกำลังเริ่มขึ้น เขาเงยหน้ามองไปยังอาคารท่ามกลางหมู่ตึกนับพันที่โดดเด่นขึ้นมาเพราะสปอตไลท์ขนาดใหญ่ของตำรวจ ฉายพุ่งไปยังท้องฟ้าราวกับเสาแห่งลำแสงสีขาว ไคโตะก้าวเท้าออกจากพื้นที่เขายึดยืนไว้เป็นฐาน ร่างที่ร่วงลงสู่เบื้องล่างตามแรงดึงดูดโลกถูกฉุดขึ้นเมื่อผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ได้คลี่ออกรับแรงลมนำพาให้เขาบินไปยังจุดหมายดุจปีกนกพิราบขาว ... ...การเดินทางที่ไม่มีวันถึง... ... ...บางที มันอาจจะคล้ายกับการดึงดันจะบินไปสู่ดวงจันทร์บนฟ้านั่นด้วยปีกเล็กๆนี่ก็ได้... ...
... ***
...fly me to the moon and let me play among the star...
*** ...ครืน... น้ำทะเลวิ่งเข้าหาชายหาดสีขาวที่ลาดเป็นทางยาว เกล็ดทรายสีขาวถูกย้อมด้วยความมืดมิดของค่ำคืนและกระจ่างนวลด้วยแสงจันทร์ ผืนน้ำกระแทกกับพวกพ้องเกิดเกล็ดฟองน้ำกระจายสะท้อนเป็นประกายขาวให้รู้ว่าทะเลนี้ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว ส่งเสียงแข่งกันอื้ออึงเป็นทำนองหนักเบาไหลเวียนไม่จบสิ้นราวกับเป็นเครื่องดนตรีชิ้นใหญ่ที่บันเลงกล่อมโลกนี้นับจากอดีตไปจนชั่วนิรันดร คืนนี้เครื่องดนตรีแห่งโลกได้อวดโฉมมากกว่าทุกวัน ดวงอาทิตย์แบ่งปันความสว่างของตัวเองให้แก่จันทร์เพื่อทำหน้าที่แทนตนในยามค่ำคืน และก็ได้มอบของขวัญพิเศษสุดครั้งหนึ่งในรอบปีให้ดาวสีนวลได้สุกเปล่งยิ่งกว่าใครในท้องฟ้าคืนนี้ เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ยอมซ่อนความยิ่งใหญ่ของตนหลังดาวนพเคราะห์ดวงเล็กหลบสายตาจากโลก มองดูคล้ายดาวทั้งสองเล่นซ่อนหากันโดยมีดวงจันทร์อยู่กั้นระหว่างกลาง
ดวงจันทร์อวดโฉมบนท้องฟ้าใสกระจ่างปราศจากเมฆหมอกใดขวางกั้นด้วยของขวัญที่ตนได้รับมา
สาดแสงสำรวจไปทั่วผืนทะเล ผืนน้ำ และบนบกให้สว่างไสวอย่างพึงใจ
แต่ไม่อาจข่มแสงไฟสีขาวชืดที่ฉายอยู่ภายใต้หลังคาบังกะโลเล็กๆหลังหนึ่งได้เลย... ชินอิจิทอดตัวลงไปบนโซฟาหวายบุเบาะลายดอกสีฟ้าอ่อน หมอนอิงกองรวมกันอยู่ข้างหลังหนุนตัวไม่ให้นอนราบไปกับพื้นเพื่อจะได้อ่านหนังสือนวนิยายในมือได้สะดวก ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆอาบแสงสีขาวหม่นจากนีออน ไม่มีสรรพเสียงใดรบกวนนอกจากเสียงแอร์ที่ครางเบาๆและเสียงผลิกกระดาษนานๆที เสียงกระเทาะกลอนและเสียงบิดล็อกดังขึ้นข้างหลังเยื้องด้านบนของพนักโซฟา เสียงครางของบานพับลั่นเอี๊ยดอ๊าดให้หน้าต่างกระจกแง้มออกช้าๆ ตัวการทำลายความสงัดในห้องก็เผยตัวออกมาหลังม่านสีน้ำเงินเข้มที่ซ้อนทับด้วยม่านลูกไม้บางๆ ชินอิจิเงยหน้าขึ้น เหล่สายตามาข้างหลังข้ามกองหนังสือ แล้วก็กลับไปให้ความสนใจกับหนังสือต่อ ใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกอะไร ราวกับแค่มองใบไม้ที่เผลอปลิวผ่านหน้าต่างเข้ามา แขกที่ไม่ได้รับเชิญถอนหายใจเบาๆและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาคิดแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ บุรุษในห้องที่มีความเย็นชาเป็นอาภรณ์ทำให้เขาเองไม่ได้คาดหวังอะไรกับปฏิกิริยาตอบรับนัก ไคโตะยกตัวขึ้นมานั่งบนกรอบหน้าต่างเบาๆ ไม่ทำลายสมาธิของชินอิจิที่จดจ่ออยู่กับการอ่าน เขาแง้มม่านมองออกไปข้างนอก แสงสีนวลจากธรรมชาติซ่อนตัวเองไว้ใต้แสงชืดของนีออนและผืนม่านสีน้ำเงินของบ้านบังกะโลนี้อย่างมิดชิด ไคโตะทอดสายตาลงมายังชายหนุ่มที่กำลังจดจ่อกับตัวอักษรเรียงยาวเป็นแถวบนหน้ากระดาษ จ้องมองสายตาที่นิ่งเฉยและเย็นชากวาดตาผ่านตัวหนังสือครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาผ่านไปยืดยาวแต่ก็ไม่ได้สะกิดกวนคนทั้งสองเลย เสียงผลิกกระดาษผ่านไปหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีอะไรจะรบกวนความแน่แน่วนั้นได้ ส่วนอีกฝ่ายก็ยังคงจ้องมองตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนสวยนั้นอย่างเอ็นดู ยิ้มให้อย่างเงียบๆราวกับจะแบ่งปันความอบอุ่นของตัวเองไปยังความเย็นเยียบนั้นบ้าง "น่าเสียดายนะที่เอาตัวเองมาเก็บไว้ใต้แสงไฟที่จืดชืดและลมแห้งของแอร์อย่างนี้"
...let me see what spring is like...
บทสนทนาบทแรกของคนทั้งสองเอ่ยขึ้น ปลายนิ้วเรียวยาวลูบปอยเส้นผมที่ปรกหน้าผากคนข้างล่างให้ดวงตาของเจ้าตัวเผยชัดเจนขึ้น ชินอิจิไม่ได้ตอบ สายตาไม่ได้กลอกจากเดิมไปไหน แต่สะบัดหน้าออกจากสัมผัสนั้น ปลายผมเอนไล้ไปกับคิ้วเรียวกลับลงไปปรกใบหน้าอย่างเคย "รู้มั้ย? แสงจันทร์มีอิทธิพลกับมนุษย์เรามากมาย..." ไร้คำตอบใดๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มบนกรอบหน้าต่างหยุดบทสนทนานี้ "...ดวงจันทร์อยู่คู่กับโลกมานาน และอยู่คู่กับมนุษย์มานับตั้งแต่ที่เราถือกำเนิดและมีสำนึกในความเป็นมนุษย์... ... ... ...อารมณ์และความรู้สึกของคนเราก็ได้รับอิทธิพลจากดวงจันทร์เหมือนกับน้ำขึ้นน้ำลงเช่นกัน ลักษณะ รูปร่างและแสงนั้นทำให้เรามีความรู้สึกที่ลึกลับเกิดเอ่อล้นขึ้นมากมาย ทั้งสงบ อ้างว้าง ความกังวล เยือกเย็นและ อบอุ่น..." "พอซะทีเถอะ ถ้าจะพร่ำเพ้อพรรณาอะไรก็ไปเพ้อเจ้อที่อื่น" ชินอิจิหงุดหงิด เสียงไคโตะรบกวนสมาธิสมองของตนที่กำลังค่อยๆไหลตามเนื้อเรื่องในหนังสือเพื่อวิเคราะห์กลเม็ด วิธีและอุบายซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน "อย่างน้อยก็ทำให้นายหันมาพูดกับฉันได้ล่ะนะ"ไคโตะยิ้ม เจ้าของร่างที่นอนอยู่เงยศรีษะขึ้น ส่งสายตาไม่พอใจผ่านใบหน้าเรียบเฉยราวตุ๊กตา "นายต้องการอะไรกันแน่? บอกมาแล้วก็รีบๆไปซะที" "นั่นสินะ แต่นายจะมอบมันมาให้แก่ฉันมั้ยล่ะ?" "อะไรล่ะ? ถ้าให้แล้วนายจะไปห่างๆจากฉัน ฉันก็พร้อมจะให้ทุกอย่าง" "...โอ้ น่าเสียดายนะ ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่ได้ออกไปสมใจนายแน่ๆ" "หมายความว่ายังไง?" "ก็หมายความถึงผลตามเหตุที่นายให้มาเมื่อกี้นี้แหล่ะ"ไคโตะตอบเชิงนัย ซึ่งมันยียวนกวนโทสะให้กับชินอิจิเป็นอันมาก "นายนี่มัน...น่ารำคาญจริงๆ" ชินอิจิหันกลับไปหาหนังสือต่อด้วยอารมณ์คุเพราะความโกรธ เขาตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยการเมินเฉยซะ การก่อกวนของไคโตะทำให้ตัวเขาจับประเด็นเมื่อสองหน้าที่แล้วได้ไม่ดีนัก ชินอิจิจึงต้องผลิกกลับไปอ่านอีกรอบ แต่ทว่าปลายนิ้วของไคโตะที่กดไปตรงมุมกระดาษทำให้กิจกรรมที่ตั้งใจไว้นั้นไม่สำเร็จ
ชินอิจิพยายามเลื่อนหนังสือหนีแต่ก็ทำให้มือนั้นคว้าหนังสือเขาออกไปทั้งเล่ม "..." ชินอิจิจ้องหน้าไคโตะที่ส่งสายตามองลงมายังเขาจากกรอบหน้าต่าง ในมือถือหนังสือซึ่งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนยังอยู่ในความครอบครองของตัวเองวางพักไว้บนไหล่ "...ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ..."ปลายคิ้วเรียวกดเข้าหากันแสดงอารมณ์ในแง่ลบของชินอิจิอย่างชัดเจน "ฉันต่างหากที่ไม่เข้าใจนาย ในขณะที่ท้องฟ้าและทะเลอยู่ข้างหน้าเราอย่างนี้ นายกลับมากักตัวเองไว้ในห้องแคบๆและลมแอร์" "ท้องฟ้าก็คือท้องฟ้า ทะเลก็คือทะเล ฉันเห็นมาไม่รู้กี่ครั้ง ทำไมฉันจะต้องใส่ใจในเมื่อที่ไหนๆก็เหมือนกันทั้งหมด" ชินอิจิตอบด้วยความขุ่นเคือง สิ่งที่เขาทำอยู่ไม่ต้องการให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าผิดตามอำเภอใจ
...on jupiter and mars...
"ไม่เหมือนหรอก ค่ำคืนแต่ละคืนให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน ค่ำคืนแต่ละที่ก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน ท้องทะเลก็เช่นกันที่ไม่เคยให้ความรู้สึกซ้ำกับที่ไหนๆและเวลาใดๆ" ชินอิจิเหล่มองคนข้างบนด้วยความดูแคลน แค่นหัวเราะดูถูกด้วยมุมปากที่ยกขึ้นข้างนึง "ประโยคสำบัดสำนวนไร้สาระที่นายไว้ใช้กล่อมพวกผู้หญิงไม่มีความหมายอะไรสำหรับฉันหรอก มันทำให้ฉันขยะแขยงมากกว่า" นักสืบหนุ่มยันตัวขึ้นมา มือคว้าไปยังหนังสือของตนหวังจะเอาคืน แต่ไคโตะก็ผลุบออกไปนอกหน้าต่างก่อนเพียงเสี้ยววินาทีราวกับอ่านการกระทำของเขาออกล่วงหน้า "นี่ไม่ใช่ประโยคสำบัดสำนวน มันเป็นความจริง เป็นสิ่งที่ฉันได้รู้จากประสบการณ์หลายร้อยครั้งที่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ยามค่ำคืน" เสียงทุ้มต่ำดังลอดจากหลังหนังสือที่ไคโตะถือไว้หน้าริมฝีปากตน ก่อนจะสาวเท้าวิ่งออกห่างจากบังกะโลหลังนั้น ชินอิจิลุกพรวดขึ้นมาเท้ามือกับกรอบหน้าต่างชะเง้อมองหนังสือของตัวเองแล้วก็กระโดดเท้าเปล่าออกตามไคโตะไปทันที เจ้าของหนังสือวิ่งตามไคโตะอย่างไม่ลดละ สายตาเพ่งไปยังแผ่นหลังข้างหน้ากันว่าจะคลาดกัน เขาวิ่งไล่ตามจากหน้าบังกะโล ผ่านทางเดินที่ปูด้วยหินศิลาแลงชื้นๆเพราะหยาดน้ำค้างไปจนถึงสนามหญ้าเปียกเฉอะแฉะด้วยเหตุผลเดียวกัน และมารู้สึกหน่วงๆฝ่าเท้าเมื่อย่ำไปกับพื้นทราย ชินอิจิยังคงวิ่งเต็มที่ตามยอดจอมโจรที่เคลื่อนตัวพลิ้วไหวราวกับภูติแห่งลม จนกระทั่งไคโตะมาหยุดยืน ณ กองโขดหินกลมมนขนาดใหญ่ ชินอิจิเดินย่างสามขุมเข้าไปหาด้วยหน้าตาไม่พอใจอย่างมาก ลมหายใจหอบหน่วงๆจนเจ็บหน้าอกเพราะจู่ๆออกวิ่งอย่างหนักทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมตัว บวกกับโดนกวนอารมณ์มาตั้งแต่อยู่บังกะโลทำให้เขารู้สึกว่าจะต้องเข้าไปตั้นหน้าคนข้างหน้าที่ยืนหันหลังให้อยู่สักยกถึงจะทุเลา เมื่อสาวเท้าไปใกล้พอชินอิจิก็คว้าไหล่ไคโตะอย่างแรง แต่ไคโตะก็แค่หันหน้าข้างมาเหล่มองชินอิจิแล้วยิ้มให้ "นี่นาย!!!"
"ใจเย็นสิ..." ไคโตะพูดช้าๆด้วยน้ำเสียงเรียบ แผ่วเบาและนุ่มนวล มือข้างที่ไม่ได้ถือหนังสือรวบข้อมือชินอิจิซึ่งกำไหล่ของตัวเองไว้ให้ผ่อนออก ใบหน้าหันมาให้สายตาได้จ้องมองลงไปในนัยตาสีน้ำเงินเข้ม ริมฝีปากยิ้มออกน้อยๆขับกล่อมอารมณ์ของคนตรงหน้าให้เคลิ้มตามไปกับความสงบของตนดั่งร่ายมนตร์ ถึงแม้จะเป็นนักสืบหนุ่มที่ระแวงระวังเป็นอย่างยิ่งโดยนิสัยอย่างชินอิจิก็ยังเผลอหลงใหลไปกับเวทย์มนต์นั้น ภาพตรงหน้าเหมือนกระจกสะท้อนเป็นรูปตัวเองยืนมองกลับมาอย่างสงบ ใบหน้านิ่งเรียบแต่แต้มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นแผ่ออกมาจนชวนให้เคลิ้มไปว่าตนเองกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์นั้นด้วยจริงๆ ทำให้ความบูดบึ้งผ่อนคลายลงได้อย่างไม่รู้ตัว เพียงแค่ชินอิจิเผลอลืมความโกรธ โสตประสาทก็ได้ยินเสียงเกลียวคลื่นซัดสาดมาจากไกลๆและดังครืนเมื่อกระทบโขดหินที่ตัวเองยืนอยู่ ประสาทสัมผัสทั่วผิวหนังเปิดรับอากาศบริสุทธิ์และสายลมจากผืนท้องน้ำกว้างพัดพาความเหนื่อยเมื่อครู่ไปจนหมดอย่างไม่รู้ตัว เสียงหวีดหวิวเบาๆดังราวกับเสียงหัวเราะของภูติแห่งลมมาเล่นเคล้าคลอกับปอยผมเขาอย่างสนุกสนาน ไคโตะหัวเราะในลำคอเหมือนรู้ใจว่าเขากำลังรู้สึกถึงอะไร ใบหน้าขาวเนียนของโจรหนุ่มที่หันมาทางชินอิจิถูกระบายด้วยเงาดำ มีเพียงแสงสีเหลืองนวลขับฉายอวดความสว่างสไวผ่านปอยผมซึ่งปลิวสะบัดตามสายลมของคนที่ยืนหันหลังให้กับมัน
...in other words...hold my hand...
มือนั้นยังคงกำอยู่ที่ข้อมือชินอิจิ ไคโตะเลื่อนฝ่ามือตนลงมาข้างล่างช้าๆจนถึงมือนักสืบหนุ่ม กระชับให้ฝ่ามือของทั้งสองแนบกันเข้า อุ้งมือออกแรงเบาๆดึงตัวชินอิจิออกมาข้างหน้า ส่วนตัวเขาเบี่ยงหลบออกมาข้างๆให้ทัศนียภาพที่ตนบังอยู่เมื่อครู่ได้อวดแก่สายตาแขกที่ตนเชื้อเชิญมา เมื่อไม่มีร่างกายไคโตะขวางกั้น สายลมก็หอบความสดชื่นของกลิ่นอายทะเลมาปะทะอย่างเต็มที่ เสียงเสื้อเชิ้ตถูกลมตีดังพั่บๆลู่ไปกับร่างกายสูงเพรียว ชินอิจิหรี่ตาลงเมื่อสายลมพัดให้ปอยผมเขารบกวนดวงตา นักสืบหนุ่มเสยผมไปด้านหลัง สายลมก็ทำหน้าที่เหนี่ยวมันขึ้นไม่ให้ไหลลงมาปรกอีก แต่บางเส้นก็ยังคงเต้นระบำอยู่ตรงหน้าผากเนียน ชินอิจิค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
"เป็นยังไง? รู้สึกดีใช่มั้ยที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้"
ไคโตะยิ้มอย่างสุขใจที่เห็นคนตรงหน้าหลงเคลิ้มไปกับของขวัญที่ตนแนะนำให้... ชินอิจิยืนอยู่ปลายโขดหินขนาดใหญ่ เบื้องหน้ามีเพียงท้องฟ้ากระจ่างปราศจากเมฆหมอก ดวงจันทร์กลมโตสาดแสงสว่างกลบกลืนแสงดาวลอยคว้างอ้อยอิ่งอยู่ตรงกลางเบื้องหน้า และเส้นขอบฟ้าตัดแบ่งระหว่างฟ้านั่นกับน้ำทะเล มหาสมุทรกว้างใหญ่มืดมิดไปด้วยแรงแห่งค่ำคืน ผืนน้ำสีนิลสะท้อนแสงจันทร์ เกลียวคลื่นสะท้อนแสงนั่นเป็นประกายวับวาวเช่นกัน ไม่มีเกาะแก่งหรือสิ่งใดมาทำให้ขอบฟ้าขรุขระเลยแม้แต่น้อย เพราะการที่เขาได้ยืนอยู่บนชะง่อนหมู่หินซึ่งยื่นเข้าไปสู่ทะเลทำให้180องศารอบตัวเขามีเพียงผืนน้ำ ผืนฟ้าเท่านั้น ราวกับทั้งโลกเหลือเพียง 2 สิ่งนี้กับตัวเขาเองเพียงลำพัง ชินอิจิเงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์กลมโต รอบจันทร์นั้นมีรัศมีล้อมรอบเป็นวงกลมขนาดใหญ่คลุมไปเกือบครึ่งนึงของท้องฟ้า "วันนี้..."
"ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันพระจันทร์ทรงกลด
วันที่ดวงจันทร์ฉายแววสว่างที่สุดยังไงล่ะ"
...in
other words...darling kiss me... "แต่ว่าที่นี่ สวยเหมือนกันนะ ไม่คิดว่าทะเลธรรมดาๆอย่างที่นี่จะสวยอย่างนี้" "ก็บอกแล้วไง นายน่ะมัวแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องแอร์" "...เรื่องของฉัน"
ไคโตะเบรกบทสนธนาชวนเถียงกันด้วยการฮัมเพลงขึ้นมาเบาๆในลำคอ ...fill my heart with song...
"เพลงอะไรน่ะ?" นักสืบหนุ่มซึ่งไม่สันทัดเรื่องเพลงอย่างยิ่งกล่าวถามทำนองที่ตนพึงเคยได้ยิน "fly me to the moon ของ Frank Sinata พอฉันเห็นดวงจันทร์ที่นี่ก็คิดถึงเพลงนี้ขึ้นมาทันทีเลย" แล้วไคโตะก็ฮัมทำนองเพลงต่อ เสียงลากยาวบางครั้งให้ความรู้สึกเหงาๆแต่บางครั้งก็เป็นทำนองสูงต่ำสนุกสนาน ชินอิจิยืนฟังเพลงนั้นเงียบๆ เป็นเพลงสั้นๆ ครู่เดียวก็จบ "เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเป็นที่ระลึกให้กับนีล อาร์มสตรองที่สามารถขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ได้เป็นคนแรกน่ะ" "เพลงนี้มีเนื้อร้องมั้ย?" "มีสิ" แล้วไคโตะก็ร้องอีกครั้งเป็นเนื้อเพลง "หือ? จบแค่ตรง in other words please be true นี่เองเหรอ?" "อืม" "...แต่เมื่อกี้ฟังทำนองเหมือนกับว่าจะมียาวกว่านี้อีกท่อนนึงนะ"
...and let me sing forever more...
ชินอิจิก้มลงไปมองพื้นน้ำข้างล่างทำท่าครุ่นคิด นึกถึงทำนองเพลงที่ตนได้ฟังเมื่อครู่นี้อีกรอบ แต่ด้วยสวรรค์ไม่ได้ให้พรในเรื่องการดนตรีมาทำให้สุดท้ายเขาก็หาเหตุผลมาเถียงไคโตะไม่ออก ไคโตะเหล่มองชินอิจิขบคิดอยู่อย่างเอ็นดูแล้วยิ้มออกมาเป็นนัยๆ ในที่สุดเมื่อการคิดเป็นอันไม่ประสบผล และก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ชินอิจิก็เงยหน้าขึ้นมาจากภวังค์ "เอ๊ะ พอมองอย่างนี้แล้วเหมือนว่าพวกเราจะไปถึงดวงจันทร์ได้เลยนะ" "อะไรเหรอ?" "ดูสิ ก็ตอนนี้ดวงจันทร์ออกจะกลมใหญ่ขนาดนี้ ถ้ามีปีกก็คงจะบินไปถึง"ชินอิจิเงยหน้าขึ้นไปมองสิ่งที่ตัวเองกำลังอ้างอยู่ "นายนี่ก็มีอารมณ์โรแมนติกแบบแปลกๆได้เหมือนกันนะ" ไคโตะหัวเราะกับประโยคที่คาดไม่ถึงว่าจะออกมาจากปากชินอิจิ แต่แล้วริมฝีปากเรียวก็คลี่หุบลง "พวกเราน่ะ ไปถึงด้วยตัวเองตามลำพังไม่ได้หรอก ถึงจะหลงใหลแค่ไหนก็ได้แต่มองอยู่ใต้ฟ้านี่แหล่ะ ถึงจะมีปีก ก็คงจะเล็กเกินไป" ... ...ก็เหมือนกับความหวังบางอย่างที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ไงล่ะ...ใช่มั้ยครับ?... ...พ่อ... ... ไคโตะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าคล้ายจะเค้นถามคำตอบจากดาวสีนวลนั่น ก่อนจะสะบัดหน้าให้กลับมาสู่อารมณ์ซ่อนห้วงความนึกคิดที่อ้างว้างคงตนไว้ภายใต้หน้ากากเปื้อนยิ้มดังเดิม "พูดอะไรน่ะ"ชินอิจิมองค้อน หน้ากากของไคโตะยังคงทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเคย ไม่มีอะไรผิดสังเกตุแก่สายตานักสืบคนนี้เลย "ก็ถ้าเราบินไปถึงดวงจันทร์อย่างเนื้อเพลงไม่ได้ แต่บางทีถ้าเดินไปตามแสงจันทร์ในทะเลนี่ก็อาจจะไปถึงเหมือนกันนะ" ชินอิจิชี้นิ้วไปยังทะเลตรงหน้า แสงจันทร์สะท้อนผิวน้ำทอดยาวมาจนเกือบจะถึงปลายโขดหินที่พวกเขายืนอยู่เลยทีเดียว ดูคล้ายเป็นทางเดินตามชินอิจิว่าจริงๆ
...you are all i long for...worship and adore...
"เอาอย่างนั้นเลยเหรอ?" ไคโตะหัวเราะ นึกเอ็นดูอยู่ไม่หายกับคำพูดที่คาดไม่ถึงครั้งที่สอง "ก็ลองดูสิ" ฝ่ามือชินอิจิอาศัยที่ไคโตะเผลอสลัดตัวออกมาเป็นอิสระ ผลักลงไปกลางหลังของยอดจอมโจรที่ยืนอยู่ข้างๆไปเต็มๆ ตูม!!! "อุ๊บ! แค่กๆๆ" ไคโตะยันตัวเองโผล่ขึ้นมาพ้นผิวน้ำ สำลักน้ำเค็มที่เข้าปากกับจมูกเพราะลงมาอย่างไม่ทันรู้ตัว ชินอิจิยืนก้มลงมองจากบนโขดหิน เป็นฝ่ายหัวเราะอย่างมีชัยบ้าง "อยากรู้ว่าจะเดินไปถึงมั้ยก็ต้องลองลงไปดูน่ะสิ" "นายนี่น้า..." ไคโตะยิ้มให้กับลูกเล่นของชินอิจิ แต่คราวนี้รอยยิ้มบนหน้ากากกลับหมองลงไป อาศัยเงาของตัวเองที่เกิดจากแสงจันทร์กลบกลืนไว้ให้พ้นจากสายตาของคนข้างหน้า "แต่...ยังไงๆก็ไปไม่ถึงอยู่ดี...ใช่มั้ยล่ะ?" ไคโตะยกมือช้อนน้ำทะเลอุ่นๆที่อยู่ล้อมรอบเอวมากักไว้ในอุ้งมือแล้วปล่อยให้ไหลออกไป แต่จู่ๆผืนน้ำก็โดนกระแทกอย่างแรง น้ำเค็มถูกแทนที่กระเซ็นขึ้นมารดทั่วทั้งตัว "นายเล่นอะไรอีกเนี่ย?หนังสือนายเปียกหมดแล้วนะ" ไคโตะลืมตาที่ปิดเพื่อกันละอองน้ำเมื่อครู่ มองนักสืบหนุ่มซึ่งลงมาอยู่กลางน้ำกับตัวเอง "ไม่เห็นเป็นไร เปียกก็ซื้อใหม่ได้" ไคโตะอึ้งไปกับคำตอบของชินอิจิ แล้วก็ยิ้มให้อย่างอดเสียไม่ได้กับความไร้เดียงสาที่เคยซ่อนอยู่ในตัวของนักสืบหนุ่มคนนี้อย่างมิดชิด
...in other words...
"แต่ก็นะ ดูนี่สิ" ชินอิจิเดินลุยน้ำออกห่างจากไคโตะ ก้าวออกไปสู่ท้องทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา น้ำทะเลโอบล้อมอยู่รอบกายชินอิจิสะท้อนแสงเป็นเงาจันทร์ขนาดใหญ่ มองแล้วคล้ายกับได้ยืนอยู่ท่ามกลางดวงจันทร์จริงๆ ไคโตะที่ยืนมองอยู่ก็ถูกชินอิจิดึงเข้าไปสู่วงล้อมแห่งแสงนวลด้วยเช่นกัน "ถึงจะบินไปด้วยตัวเองไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็มาถึงดวงจันทร์ด้วยวิธีนี้ก็ได้" "อะ...?..." "ทุกอย่างมันต้องมีทางเสมอนั่นแหล่ะ จริงมั้ย?"ชินอิจิจ้องมองกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ประปรายไปด้วยละอองน้ำทะเล
...please be true...
นักสืบหนุ่มที่สะท้อนอยู่ในแววตาเขาตอนนี้เปล่งประกายเฉิดฉายอย่างที่สุด
แสงจันทร์จากฟากฟ้าและจากพื้นทะเลสะท้อนขึ้นมาขับร่างของคนตรงหน้าให้ดูเปล่งปลั่งยิ่งกว่าสิ่งใด
เพียงคำพูดคำเดียวของเขา
เมฆหมอกที่สุมอกมาตลอดก็ได้ถูกคลี่ลงให้จิตใจได้กระจ่างใสยิ่งกว่าท้องฟ้าในค่ำคืนนี้... "หือ? เป็นอะไรไปน่ะ? ตานาย? น้ำตา?" "เปล่า ไม่มีอะไร แค่แสบตาเพราะไอทะเลน่ะ" เขาวาดวงแขนล้อมเอวชินอิจิและดึงร่างมาสู่อ้อมกอดของตน "ขอบใจนะ" ไคโตะยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ที่เปล่งออกมาจากห้วงลึกของจิตใจเขา ไม่ถูกแต่งแต้มด้วยหน้ากากใดๆ "?" ชินอิจิไม่เข้าใจกับความหมายของคำพูดคนตรงหน้า ไคโตะขอบคุณเขาเรื่องอะไร? โจรหนุ่มไม่ได้เฉลยและเหมือนไม่ต้องการคำถาม ชินอิจิจึงไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงจนเมื่อไคโตะได้เริ่มประโยคใหม่ที่ไม่ได้สัมพันธ์อะไรกับเมื่อครู่เลย "นายรู้มั้ย? เนื้อร้องท่อนสุดท้ายของเพลงต่อจาก please be true คืออะไร?" "...คือ?..." นักสืบหนุ่มได้ยินเสียงหัวใจของไคโตะเต้นอยู่บนอกของตนเอง บางทีหัวใจของเขาที่กำลังเต้นแรงอยู่นี่ไคโตะก็คงจะได้ยินด้วยเช่นกัน ริมฝีปากไคโตะโน้มเข้าหาใบหูชินอิจิและกระซิบแข่งกับเสียงคลื่นที่ซัดสาดอย่างไม่ขาดตอนเบาๆ
... ...in other words...
...I love you.
|